วันพฤหัสบดีที่ 24 เมษายน พ.ศ. 2557

แมวขาวมณี (Khao Manee)


 แมวขาวมณี (Khao Manee)

สำหรับแมวขาวมณีไม่มีหลักฐานยืนยันที่มาอย่างชัดเจน รู้เพียงว่า เริ่มพบเห็นมากในช่วงรัตนโกสินทร์ตอนต้น โดยมีข้อสันนิษฐานว่า น่าจะเป็นแมวที่ติดมากับเรือสำเภาของพ่อค้าจีน ที่เลี้ยงไว้จับหนูบนเรือ แต่เนื่องจากสีขาวเป็นสีที่ดูสะอาดและเป็นสีมงคลสำหรับคนไทย ดังนั้นแมวขาวมณีจึงกลายเป็นแมวบ้านนับจากนั้นเป็นต้นมา และที่สำคัญแมวพันธุ์นี้ยังเป็นแมวที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว หรือรัชกาลที่ 5 ทรงโปรดปรานเป็นพิเศษด้วย
 ลักษณะทั่วไปและพฤติกรรมของแมวขาวมณี


เอกลักษณ์ของแมวขาวมณี นอกจากจะมีขนสีขาวปลอดทั่วทั้งตัวแล้ว นัยน์ตาทั้ง 2 ข้างของแมวขาวมณียังแตกต่างไปจากแมวไทยพันธุ์อื่น โดยมีทั้งนัยน์ตาสีฟ้า สีเหลืองอำพัน และตา 2 สี ลักษณะมาตรฐานของแมวขาวมณี หัวจะต้องกลมใหญ่คล้ายรูปหัวใจ จมูกสั้น หูตั้งใหญ่ โคนหางใหญ่ แต่มีปลายแหลมชี้ตรง และต้องเรียวได้สัดส่วนกับลำตัว ส่วนเสน่ห์ของแมวขาวมณีนั้น นอกจากขนสีขาวเนียนสนิท มันยังเป็นแมวที่ช่างประจบประแจง ขี้อ้อน ชอบเข้ามาคลอเคลีย และจะคอยสังเกตเจ้าของตลอด ไม่ว่าจะทำอะไรอยู่ก็ตาม
 การเลี้ยงดูแมวขาวมณี


ส่วนมากมักจะนิยมเลี้ยงแมวขาวมณีแบบเป็นคู่ เพื่อให้พวกมันพลัดกันเลียขนเพื่อทำความสะอาด แมวพันธุ์นี้เป็นแมวเชื่อง และเชื่อฟังคำสั่งเจ้าของ จึงเหมาะกับการเลี้ยงไว้เป็นเพื่อนแก้เหงาได้ดีเลยทีเดียว

แมววิเชียรมาศ (Siamese)


 แมววิเชียรมาศ (Siamese)

 "แมววิเชียรมาศ" เป็นแมวไทยชนิดแรกที่ชาวต่างชาติรู้จักและตั้งชื่อว่า "Siamese Cat" หรือ “แมวสยาม” เป็นแมวไทยต้นตระกูล ที่นำไปปรับปรุงพันธุ์ได้แมวไทยอีกหลายสายพันธุ์ แมววิเชียรมาศเป็นแมวไทยโบราณ ในสมุดข่อยยกย่องให้เป็นแมวให้ลาภ ใครเลี้ยงไว้จะได้เป็นขุนนาง  ชื่อแมววิเชียรมาศ มีความหมายว่า "เพชรแห่งดวงจันทร์" หรือ "Moon Diamond" บางตำราก็เรียก "แมวแก้ว"
           ปัจจุบันคนไทย มักเข้าใจผิดเรียกว่า แมววิเชียรมาศ คือแมวชนิดเดียวกันกับ  "แมวเก้าแต้ม" เนื่องจากมีลักษณะและลวดลายคล้ายกันมาก แต่ที่จริงแล้ว "แมวเก้าแต้ม" เป็นชื่อของแมวไทยอีกชนิดหนึ่งที่สูญพันธุ์ไปแล้ว 


ลักษณะประจำพันธุ์


           แมววิเชียรมาศ เป็นแมวที่มีแต้มสีน้ำตาลเข้มอยู่ 9 จุดบนตัว ได้แก่ ที่ปลายเท้าทั้งสี่ ปลายหูทั้งสอง ปลายหาง บนจมูก และที่อวัยวะเพศ เมื่อตอนยังเล็กจุดจะไม่ใหญ่มาก ลำตัวเป็นสีครีม แต่จุดจะขยายใหญ่ขึ้นตามอายุจนมีสีน้ำตาลเกือบทั้งหมด พันธุ์แท้จะต้องมีนัยน์ตาสีฟ้าเป็นประกายสดใส 


           ขณะยังเป็นลูกแมวอายุน้อย สีขนจะออกสีครีมอ่อนๆ พอโตขึ้น สีจะเข้มขึ้นเป็นสีน้ำตาล (สีลูกกวาง) เป็นแมวพันธุ์แท้ตลอดกาล ไม่ว่าจะไปผสมกับแมวพันธุ์อะไรก็ตาม จะได้สีแต้มตามแบบ แต่รูปร่างไม่สง่างามเท่า และนิสัยต่างๆ จะไม่ตกทอดไปสู่ แมวลูกผสมด้วย เมื่ออายุมากขึ้นสีสันต่างๆ จะเข้มขึ้นตามลำดับ ในต่างประเทศ ได้นำ แมววิเชียรมาศนี้ ไปผสมกับแมวไทยบางพันธุ์ ได้แมวที่มีแต้มสีอื่นๆอีกหลายสี เช่น แต้มสีเทา สีแดง ลายสีกลีบบัว  


            ตา : นัยน์ตาเป็นสีฟ้าเปล่งประกายสดใส ในตอนที่ยังเล็กๆ จะมีขนสีครีมอ่อนๆ แต่ พอโตขึ้นขนจะเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลหรือสีลูกกวาง ขนาดก็พอๆกับแมวไทยโดยทั่วๆไป ดวง ตาสีฟ้าชัดเจนนั้นจะมีลักษณะเหมือนตุ๊กตาจีน คือเอียงเข้าหากันลงไปทางปลายจมูก


            ขา : ช่วงขายางร่างระหง เท้าทั้ง 4 จะดูบอบบาง ด้านหลังจะยาวและยกสูงกว่าด้าน หน้าเล็กน้อย รูปเท้าจะเรียวแต่ฝ่าเท้าอวบ


            หาง : หางยาวเรียวลักษณะคล้ายหางเสือ แต้มตรงหางจะมีสีเข้มจากปลายหาง และ เริ่มจางลงเมื่อขึ้นมาถึงโคนสะโพd


            หัว : รูปศีรษะยาวได้สัดส่วนที่เหมาะสม ส่วนที่อยู่ตรงแนวระดับตาจะเป็นส่วนที่กว้าง ที่สุดจึงมองดูแล้วโหนก และจะค่อยๆแคบลงมาจนถึงปลายปากหรือคาง


            หู : ใบหูใหญ่ตั้งชัน ปลายใบหูจะค่อนข้างแหลม โคนหูกว้าง


            ขน : ลำตัวมีสีนวลหรือสีครีม แต่จะเข้มขึ้นบริเวณแผ่นหลัง ลักษณะของสีนั้นจะเข้ม ขึ้นตามอายุ เมื่ออายุยังน้อยๆสีก็จะเป็นสีครีมอ่อนๆ พออายุเริ่มมากขึ้นก็เข้มขึ้นเรื่อยๆจน ดูเป็นสีน้ำตาลทางใบหน้าจะเด่นมาก เพราะแต้มที่จุดอยู่ตรงปลายจมูกนั้นจะกว้างออกครอบ ทั่วบริเวณเหมือนกับสวมหน้ากากไว้ เส้นขนที่ปกคลุมมีลักษณะสั้น แต่เป็นเส้นละเอียดอ่อนนุ่ม และดกหนาแน่นมาก


           ลักษณะที่เป็นข้อด้อยของพันธุ์


          ขนยาวเกินไป มีแต้มสีไม่ครบทั้ง 9 แห่ง แต้มสีอื่นที่ไม่ใช่สีน้ำตาลไหม้ นัยน์ตาสองข้างเป็นคนละสี หรือเป็นสีอื่นๆ ตาเอียง จมูกหัก หูไม่ตั้ง หางสั้นเกินไป (เมื่อยืนขาหลังให้ขนานกับหาง ความยาวของหางสั้นกว่าขาเกิน 3 นิ้ว) ของขอด หางหงิกงอ หางสะดุด ปลายหางคด ดุเกินไป เลี้ยงลูกไม่ดี


อาหารและการเลี้ยงดู


          ตอนกลางวันควรให้แมวอยู่อย่างอิสระในบ้านหรือนอกบ้านก็ได้ ตอนกลางคืนควรขังรวมกันไว้ในกรง กรงแมวต้องมีขนาดใหญ่ การเลี้ยงแมวในบ้าน แมวจะชอบขับถ่ายในที่ๆมีกลิ่นเหม็นหรือเป็นจุดอับ หากต้องการให้แมวขับถ่ายเป็นที่เป็นทาง ควรเตรียมกระบะทรายหรือขี้เถ้าไว้ในบ้านด้วย สำหรับแมวตัวผู้ที่โตแล้ว จะขับถ่ายไม่เลือกที่


           ส่วนอาหาร แมววิเชียรมาศ เป็นสัตว์กินเนื้อ เป็นนักล่า ดังนั้น อาหารที่ให้ต้องมีคุณค่าทางสารอาหารครบถ้วน ควรให้วันละ 2 มื้อ คือ เช้า และเย็น ส่วนใหญ่จะให้ข้าวคลุกปลาทู ซึ่งมีโปรตีน 20 % ปัจจุบันนิยมให้อาหารสำเร็จรูปมากกว่า สิ่งที่ขาดไม่ได้ก็คือน้ำสะอาดที่ต้องใส่ภาชนะตั้งไว้

แมวสก็อตติช โฟลด์ (Scottish Fold)


 แมวสก็อตติช โฟลด์ (Scottish Fold)

แมวพันธุ์ Scottish Fold ถูกค้นพบครั้งแรกในปี ค.ศ.1961 ในสก๊อตแลนด์ มันมีชื่อว่า Susie มีลักษณะเป็นแมวสีขาวที่มีหูพับไปมาทั้งด้านหน้าและด้านหลังได้ ใบหน้ามีลักษณะคล้าย นกฮูก หรือหน้าของตัวนาก ผู้ที่สังเกตเห็นคนแรกคือ William Ross มีอาชีพเป็นคนเลี้ยงแกะ William และภรรยาเป็นคนที่รักแมวมาก และทั้งคู่สนใจ Susie มาก เมื่อ Susie ออกลูกเป็นลูกแมวหูพับ 2 ตัว ครอบครัวของเขาจึงขอลูกแมวตัวเมียตัวหนึ่งมาเลี้ยง และได้ตั้งชื่อว่า Snooks ลูกของ Snooks เป็นสายพันธุ์ที่มาจาก British Shorthair และนี่ก็เป็นต้นกำเนิดของสายพันธุ์ Scottish Fold ในเวลานี้ สายพันธุ์นี้ได้รับการจดทะเบียนจาก The Governing Council of the Cat Fancy ของประเทศอังกฤษ
          ทั้งนี้ ในช่วงปี ค.ศ. 1960 Pat Turner นักพันธุศาสตร์ และ cat breeder เป็นผู้หนึ่งที่ได้ชื่อว่าเป็นผู้พัฒนาสายพันธุ์นี้ ในช่วง 3 ปี มีลูกแมวเกิด 76 ตัว 42 ตัวเป็น พวกหูพับ อีก 34 ตัว เป็นพวกหูตั้ง เธอได้ร่วมกับ Peter Dyte นักพันธุศาสตร์ชาวอังกฤษ ได้ลงความเห็นว่า ลักษณะหูพับกลายเป็นลักษณะเด่น นั่นหมายถึงถ้าลูกแมวได้รับการถ่ายทอดยีนจากพวกที่มีหูตั้ง และพวกที่มีหูพับ ลูกแมวตัวนั้นจะมีลักษณะหูพับ
          สำหรับ Susie ต้นกำเนิดของ แมวพันธุ์ Scottish Fold หูมีลักษณะการพับแบบหลวม ๆ ปลายหูพับลงมาด้านหน้าประมาณครึ่งหนึ่ง รูปแบบนี้ เรียกว่า single fold และในปัจจุบันยังมีหูพับแบบ triple fold ด้วย คนเลี้ยงแมวบางส่วนในประเทศอังกฤษมีความเชื่อว่า แมวพันธุ์ Scottish Fold อาจมีแนวโน้มที่จะติดเชื้อโรคทางหู และ มีโอกาสในการเป็นหูหนวกสูง พวกเขาจึงร่วมมือกันต่อต้านการจดทะเบียนของ Scottish Fold ใน Great Britain และ Europe 
          อย่างไรก็ตาม Mrs. Ross ได้นำแมวหูพับบางส่วนของเธอจัดส่งไปให้ ศาสตราจารย์ ดอกเตอร์ Neil Todd นักพันธุศาสตร์ ใน Newtonville คอกแรกที่เกิดในอเมริกา เกิดวันที่ 30 พฤศจิกายน 1971 หลังการค้นคว้าเสร็จสิ้นลง ลูกแมวหูพับบางส่วนได้รับการยอมรับจาก CFA
           โดย แมวพันธุ์ Shorthair Scottish Folds ได้รับการจดทะเบียนจาก ACA ในปี 1973 และ จาก ACFA, CFA ในปี 1974 สถาบัน TICA เป็นที่แรกที่จดบันทึกว่า Longhairs ชนะเลิศการประกวด ในปี 1987-88 และชนะของ CFA ในปี 1993-94 
          และแม้ว่าครอบครัว Ross จะล้มเลิกความพยายามในการทำให้ประเทศของเขายอมรับแมวสายพันธุ์นี้ แต่พวกเขาได้รับการยกย่องในประเทศสหรัฐอเมริกา ว่าเป็นผู้ค้นพบ แมวพันธุ์ Scottish Fold

ลักษณะโดยทั่วไปของ แมวพันธุ์ Scottish Fold
แมวพันธุ์ Scottish Fold เป็นแมวขนาดกลาง ในช่วง 2 ทศวรรษที่ผ่านมา ได้พัฒนาจนมีลักษณะเฉพาะตัวของสายพันธุ์ 

           ตัวผู้ มีน้ำหนัก ประมาณ 9-13 ปอนด์


           ตัวเมีย มีน้ำหนัก ประมาณ 6-9 ปอนด์


          ทั้งนี้ แมวพันธุ์ Scottish Fold จะมีลักษณะตัวกลม หัวกลม มีช่วงคอสั้น ดวงตากลมใหญ่ มีช่องกว้าง และแสดงออกถึงความสดใส ความหวาน พวก Fold นี้ สามารถมีหูที่มีลักษณะตั้งตรงขนาดกลางได้ไปจนถึง หูพับขนาดเล็ก ที่มีมุมพับกว้าง ปลายหูส่วนใหญ่จะกลม หูของลูกแมวจะเริ่มพับในช่วง2-3 อาทิตย์แรก มีคางที่กลมมน จมูกสั้นโค้ง กว้าง เพื่อรับกับดวงตา บางครั้งปากจะโค้งรับกับคางที่โค้งทำให้ ได้ฉายาว่า smiling cat หรือ แมวยิ้ม ดังที่แสดงในภาพ Scottish Fold จะมีลักษณะกลมทั้งตัว

         แมวพันธุ์ Scottish Fold มี 2 แบบ คือ แบบ Shorthair และ Longhair พวก Longhaired Scottish Fold มีขนยาวขนาดกลาง ในตัวผู้มีขนหางเป็นพวงใหญ่ที่สวยงาม สีของสายพันธุ์นี้ สามารถพบได้หลายสี โดยเฉพาะสีน้ำตาล และสีขาว เป็นสีที่ได้รับความนิยมมากที่สุด



 ลักษณะนิสัย แมวพันธุ์ Scottish Fold


        แมวพันธุ์ Scottish Fold เป็นแมวที่ไม่ค่อยส่งเสียง มักจะชอบที่จะคอยดูแลควบคุมในสิ่งที่เจ้าของกำลังทำอยู่ เป็นแมวที่ชอบทำกิจกรรมในระดับปานกลาง พวกมันชอบที่จะเล่นโดยเฉพาะถ้ามีเจ้าของของมันร่วมเล่นด้วย Folds บางตัวอาจที่จะไม่ชอบนอนบนตัก แต่พวกมันชอบที่จะอยู่ใกล้ ๆ กับเจ้าของ


          นอกจากนี้ แมวพันธุ์ Scottish Fold ยังชอบที่จะนอนแผ่แบนบนหลังของมัน และมักพบมันในท่า sitting up ซึ่งดูเหมือนตัวนาก

แมวอเมริกัน ชอร์ตแฮร์ (American Shorthair)


 แมวอเมริกัน ชอร์ตแฮร์ (American Shorthair)

 หากคุณกำลังมองหาแมวที่จะนำมาเป็นเพื่อนที่ดีของเด็ก ๆ ตัวใหญ่ ใจดี น่ากอดอยู่ล่ะก็ แมวพันธุ์อเมริกันขนสั้น (American Shorthair)  เป็นแมวพันธุ์ที่มีความเหมาะสมอย่างมาก แมวพันธุ์นี้เป็นที่รู้กันถึงความอายุยืน สุขภาพแข็งแรง ดูดี มีลักษณะที่สงบ ทั้งยังเป็นแมวที่ได้รับความนิยมมากในวงการโฆษณาและวงการบันเทิง จึงไม่แปลกเลยว่า American Shorthair จะเป็นแมวสายพันธุ์หนึ่งซึ่งที่เป็นที่นิยมมากที่สุดในโลกแห่งแมว 

          ทั้งนี้ แมวพันธุ์อเมริกันขนสั้น (American Shorthair) เป็นแมวสายพันธุ์ของอเมริกา บรรพบุรุษมาจากแถบยุโรปในช่วงเริ่มแรกและมาแพร่พันธุ์ยังอเมริกาเหนือ เมื่อครั้งชาวยุโรปเดินทางไปแสวงหาถิ่นที่อยู่ใหม่ โดยแมวถูกนำลงเรือไปด้วยเพื่อใช้ประโยชน์ในการล่าหนูมิให้ทำลายข้าวของ ต่อมาแมวมีการผสมพันธุ์ไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งกลายไปเป็นแมวพื้นเมืองขนสั้นของอเมริกาเหนือ ความสวยและน่ารักของมันได้กลายมาเป็นสิ่งที่มีคุณค่า เช่นเดียวกับกับความสามารถในการจับหนูของมัน ตามข้อมูลระบุว่า แมว tabby (ลายเสือ) American Shorthair เคยถูกเสนอขายในราคาถึงกว่า $2,500 ในงานประกวดแมวประจำปีในปี 1896


          ต่อมา ในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 แมวสายพันธุ์ต่างประเทศได้ถูกนำเข้ามาในประเทศสหรัฐอเมริกา (แมวขนยาวกับแมววิเชียรมาศ) เพื่อผสมกับแมวพื้นเมืองขนสั้น และได้ให้กำเนิดลูกแมวที่มีลักษณะขน ลำตัว สี และอุปนิสัยที่แตกต่างกันไป ใครก็ตามที่ต้องการรักษาแมวสายพันธุ์ American Shorthair ต้องมีตัวอย่างสายพันธุ์แมวที่บริสุทธิ์ และเริ่มที่ผสมกับแมวที่ได้รับการเลือก เพื่อจะรักษาลักษณะที่ดีของสายพันธุ์ หน้าที่สวยงาม ลักษณะนิสัยที่อ่อนหวาน และในขณะเดียวกันก็รักษาลักษณะรูปแบบและสีสันของ American Shorthair อย่างที่เป็นทุกวันนี้  และกลายเป็นอีกสายพันธุ์หนึ่งที่คนนิยมเลี้ยง


          ในปี 1966  จากเดิมที่เรารู้จักกันในแมวที่เลี้ยงกันตามบ้านทั่วไป (Domestic Shorthair) แมวสายพันธุ์นี้ได้รับการตั้งชื่อเสียใหม่ว่า American Shorthair เพื่อให้เป็นตัวแทนของลักษณะแมวของอเมริกาและเพื่อให้แตกต่างจากแมวขนสั้น สายพันธุ์อื่น ๆ ชื่อ American Shorthair เป็นการเน้นย้ำถึงความเป็นแมวขนสั้นพันธุ์ดั้งเดิมในอเมริกาเหนือ ที่มีความแตกต่างอย่างชัดเจนจากแมวที่หาได้ตามท้องถนนทั่วไป

ลักษณะสายพันธุ์ แมวพันธุ์อเมริกันขนสั้น

          แมวอเมริกันชอร์ตแฮร์ มีลักษณะสีขนและรูปร่างมากกว่า 80 แบบ มีตั้งแต่ สีน้ำตาล striking tabby ไปจนถึง แมวสีขาวตาสีฟ้าสดใส หรือ shaded silvers สี smoke และสี camero รวมทั้งสี calico van และสีอื่นในระหว่างนี้ สีที่เป็นที่รู้จักมากที่สุดคือสี silver tabby โดยจะมีลายสีดำเข้ม พลาดอยู่บนพื้นสีเงิน (ลายเสือ) 


          สำหรับรูปร่างของแมวอเมริกันชอร์ตแฮร์ มีขนาดกลางไปจนถึงขนาดใหญ่ โครงสร้างลำตัวโต มีกล้ามเนื้อแข็งแรง มองเห็นชัดเจน อกใหญ่ ขาใหญ่ ใบหูมีขอบเป็นทรงกลมมน ส่วนหัวมีลักษณะรูปไข่ ดวงตากลมโต มีสีเขียวมรกต


          ลักษณะนิสัยของ แมวพันธุ์อเมริกันขนสั้น (American Short Hair) เป็นแมวที่ช่างสงสัย นิสัยร่าเริง ชอบเล่นไปเรื่อย ๆ มีเสน่ห์ แต่จะฝึกค่อนข้างยาก ไม่เหมือนสุนัขที่ฝึกง่าย ดังนั้น จะต้องคลุกคลีกับแมวให้มาก ๆ ในขณะที่การดูแลก็จะทำเป็นอย่างดี พาไปตรวจสุขภาพและฉีดวัคซีนเป็นประจำ


          ส่วนปัญหาของแมวพันธุ์อเมริกันขนสั้นส่วนใหญ่จะเป็นเชื้อราและเป็นหวัด ถ้าหากเจ้าของให้การดูแลไม่ดีก็จะเลี้ยงลำบาก ส่วนปัญหาเรื่องขนร่วงมีน้อยมาก โดยจะร่วงเฉพาะในช่วงเวลาผลัดขนปีละ 2 ครั้งเท่านั้น

แมวเปอร์เซีย (Persian)


 แมวเปอร์เซีย (Persian)

 แมวเปอร์เซีย ถือเป็นราชินีแมวจากแดนตะวันออกกลางที่ได้รับความนิยมไปทั่วโลก เพราะเป็นแมวขนยาว หน้าตาน่าเอ็นดู หัวกลมสวย ตากลมโต มีหลายสีขึ้นอยู่กับสายพันธุ์ รวมถึงหน้าตาก็มีหลายแบบ มีอุปนิสัยอ่อนโยน เข้ากับคนง่าย ร่าเริงซุกซน ชอบประจบประแจง และมีไหวพริบ ซึ่งแมวพันธุ์นี้นับเป็นแมวต่างประเทศที่ถูกนำเข้ามาเผยแพร่ในประเทศไทยเป็นพันธุ์แรกด้วย

           แมวเปอร์เซียมีถิ่นกำเนิดอยู่แถบเปอร์เซีย หรือประเทศตุรกี และอิหร่านในปัจจุบัน โดยในปี ค.ศ. 1684 ได้มีการบันทึกลายลักษณ์อักษรเกี่ยวกับที่มาของ แมวเปอร์เซีย หรือแมวเปอร์เซียน (Persian Cats) ว่า พ่อค้าทะเลทราย (หรือที่เรียกว่ากองคาราวาน) ทางแถบๆ ตะวันตกของตุรกีและอิหร่าน มักบรรทุกสินค้ามากมาย อาทิเครื่องเทศน์ อัญมณี และสินค้ามีค่าอื่นๆ ซึ่งบางครั้งก็มีแมวขนยาวติดมาด้วย แมวขนยาวนั้นถูกซื้อโดยกะลาสีและได้นำแมวติดไปกับเรือสินค้าเดินทางเข้าทวีป ยุโรป ซึ่งหลายปีต่อมาแมวพันธุ์นั้นถูกรู้จักในชื่อ เตอร์กิส แองโกร่า (Turkish Angora)


           ต่อมาในปลายศตวรรษที่ 19 ชาวอังกฤษเริ่มผสมพันธุ์แมวเตอร์กิส แองโกร่า กับแมวสายพันธุ์อื่น และพัฒนาจนได้แมวที่มีขนหนาและยาวกว่าเดิม กระทั่งในที่สุดแมวพันธุ์นี้ก็ได้รับการยอมรับและจดทะเบียนขึ้นที่ประเทศอังกฤษในชื่อว่า Longhair ซึ่งชื่อของมันก็ถูกตั้งขึ้นตามประเทศต้นกำเนิดนั่นเอง 


           นอกจากประเทศอังกฤษแล้ว แมวเปอร์เซียยังถูกนำไปเลี้ยงในประเทศต่างๆ ทั้งยุโรปและอเมริกามานานหลายร้อยปี ซึ่งอเมริกาจะเรียกแมวพันธุ์นี้ว่า Persian


 ลักษณะสายพันธุ์


           แมวเปอร์เซีย เป็นแมวที่มีขนาดกลางถึงขนาดใหญ่ มีกระดูกที่ใหญ่และแข็งแรง หัวและหน้ากลม หน้าผากโหนก แก้มเต็ม ดวงตากลมโต และอยู่ในตำแหน่งที่ห่างกัน มีจมูกที่หัก กล่าวคือ สังเกตได้ชัดเจนเมื่อมองจากด้านข้างจะเห็นจุดหักระหว่างจมูกกับหน้าผากชัดเจน เมื่อมองจากด้านหน้าจะเห็นเป็นขีดอยู่ระหว่างดวงตา



           สำหรับแมวเปอร์เซียที่มีลักษณะตรงตามมาตรฐานสายพันธุ์ ควรจะมีจมูกอยู่ในระดับเดียวกับตา โครงสร้างลำตัวสั้น ขาสั้นเตี้ย หูเล็กมีปลายหูที่กลมมน และอยู่ในตำแหน่งที่ห่างกัน หางสั้นและตรง ไม่มีรอยหัก ขนยาวฟู มีท่วงท่าการเดินดูสง่างาม ทั้งนี้ แมวเปอร์เซียในสมัยแรกๆ มีรูปร่างหน้าตาที่ต่างจากแมวเปอร์เซียในปัจจุบันมากทีเดียว ปัจจุบันมันถูกพัฒนาให้มีรูปร่างที่สั้นขึ้น ขนยาวขึ้น ถูกเปลี่ยนแปลงโครงร่างให้ใหญ่และกลม จมูกสั้นและหักมากขึ้น 


           อย่างไรก็ตาม แมวเปอร์เซียถูกแบ่งออกเป็น 7 ชนิด โดยแบ่งตามสี และลักษณะเป็นหลัก ดังนี้


            1. Solid colour  ขนจะเป็นสีเดียวตลอดตัว ไม่ควรมีสีอื่นแซมเลย สีจะต้องเสมอกันตลอด เช่น white ขนสีขาวบริสุทธิ์, blue ขนสีเทาเข้ม, black สีขนดำสนิท, red ขนสีแดงเข้มและสดใส, cream ขนสีครีมเข้ม, chocolate ขนสีน้ำตาสช็อกโกแลต, lilac ขนสีลาเวนเดอร์


            2. Sliver&Golden ตาจะเป็นสีเขียวหรือสีเขียวอมน้ำเงินเท่านั้น


            3. Shade&Smoke จะมีสีขน 3 แบบ คือแบบ Shell จะมีสีที่ปลายขนเพียงเล็กน้อย แบบ Shade จะมีส่วนที่เป็นสีมากกว่า และแบบ Smoke จะมีสีมากกว่าแบบ Shade


            4. Tabby จะมีลวดลายที่เป็นที่ยอมรับอยู่ 2 แบบ คือ Classic และ Mackerel


            5. Parti-colour จะเกิดขึ้นเฉพาะเพศเมียเท่านั้น อันสืบเนื่องมาจากการสืบทอดทางโครโมโซม


            6. Calico & Bi-Color สีทั่วไปตาจะเป็นสีทองแดง ถ้าเป็นตาสองสีตาข้างหนึ่งจะเป็นสีฟ้า อีกข้างเป็นสีทองแดง ความเข้มของสีตาทั้งสองข้างเท่าๆ กัน


            7. Himalayan เกิดจากการผสมข้ามสายพันธุ์ระหว่างแมวไทยวิเชียรมาสกับแมวเปอร์เซีย จะมีลักษณะแต้มสีตำแหน่งเดียวกับแมววิเชียรมาส คือหูทั้งสองข้าง ที่หน้าครอบเหมือนหน้ากาก ขาทั้งสี่ ตาสีฟ้าสดใส